ปอดอักเสบ หมายถึง การอักเสบของเนื้อปอดซึ่งประกอบด้วยถุงลมปอดและเนื้อเยื่อโดยรอบถุงลมปอดมีหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนอากาศ เมื่อมีการอักเสบ (บวมและมีหนองขัง) ก็ทำให้เกิดอาการหายใจหอบ หายใจลำบากจัดว่าเป็นภาวะร้ายแรงและเป็นสาเหตุการตายที่สำคัญสาเหตุหนึ่งของคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันโรคต่ำอย่างไรก็ตาม โรคนี้ถ้าตรวจพบในระยะแรกเริ่ม ก็มีทางเยียวยาให้หายได้

อาการ

มักเกิดขึ้นฉับพลันด้วยอาการไข้สูง บางคนอาจมีอาการตัวร้อนตลอดเวลา หรือหนาวสั่นมาก ในระยะแรกอาจมีอาการไอ แห้งๆ ไม่มีเสมหะ ต่อมาไอมีเสมหะขุ่นข้นออกเป็นสีเหลือง สีเขียว สีสนิมเหล็ก หรือมีเลือดปนบางคนอาจมีอาการเจ็บแปลบในหน้าอกเวลาหายใจ เข้า หรือไอแรงๆ บางครั้งอาจปวดร้าวไปที่หัวไหล่ สีข้าง หรือท้องต่อมาจะมีอาการหายใจหอบเร็ว บางคนอาจเป็นไข้หวัดนำมาก่อนแล้วจึง มีอาการไอ และหายใจหอบตามมา

ในเด็กเล็กที่เป็นปอดอักเสบ จะมีอาการหายใจหอบเร็วเกินเกณฑ์ตามอายุ ดังนี้ 
•    อายุ 0-2 เดือน หายใจเกินนาทีละ 60 ครั้ง 
•    อายุ 2 เดือน – 1 ขวบ หายใจเกินนาทีละ 50 ครั้ง 
•    อายุ 1-5 ขวบ หายใจเกินนาทีละ 40 ครั้ง

สาเหตุ

ส่วน ใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ ซึ่งมีอยู่หลายชนิด เช่น
•    เชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อยได้แก่ เชื้อนิวโมค็อกคัส (pneumococcus) ที่พบได้น้อยแต่ร้ายแรง ได้แก่ เชื้อสแตฟฟีโลค็อกคัส (staphylococus) เชื้อเคล็บซิลลา (klebsiella)
•    เชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัดใหญ่ หัด อีสุกอีใส เชื้อไวรัสซาร์ส (SARS virus หรือ coronavirus)
•    อื่นๆ เช่น เชื้อนิวโมซิสติสคาริไน (Pneumo-cystis carinii) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคปอดอักเสบใน ผู้ป่วยเอดส์ เชื้อไมโคพลาสมา เชื้อรา เป็นต้น การติดเชื้อปอดอักเสบ มักพบในคนที่มีภูมิต้านโรคต่ำ เช่น ทารกคลอดก่อนกำหนด ทารกแฝด เด็กขาดอาหาร ผู้สูงอายุ ผู้ที่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง ผู้ที่เป็นโรคทางปอดเรื้อรัง (เช่น หืด ถุงลมปอดโป่งพอง) ผู้ป่วยเอดส์ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่กินยาสเตียรอยด์ นานๆ เป็นต้น บางครั้งอาจพบเป็นโรคแทรกซ้อนของไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ทอนซิลอักเสบ หัด อีสุกอีใส ไอกรน เป็นต้นผู้ที่ฉีดยาด้วยเข็มไม่สะอาด หรือพวกที่ฉีด ยาเสพติดด้วยตนเองก็มีโอกาสติดเชื้อกลายเป็นโรคปอดอักเสบร้ายแรงจากเชื้อ สแตฟฟีโลค็อกคัส การติดเชื้อ อาจติดต่อได้ทางใดทาง หนึ่ง ดังนี้
1.    ทางเดินหายใจ โดยการไอ จาม หรือหายใจรดกัน
2.    โดยการสำลักเอาเศษอาหารเข้าไปในปอด
3.    แพร่กระจายไปตามกระแสเลือด เช่น การฉีดยา หรือให้น้ำเกลือที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ทำให้มีการปนเปื้อนเชื้อ เข้าไปในกระแสเลือด เชื้อโรคแพร่จากอวัยวะส่วนอื่นที่มีการติดเชื้อเข้าไปตามกระแสเลือด เป็นต้น
4.    เกิดจากสารเคมีที่พบบ่อยได้แก่ น้ำมันก๊าดที่ผู้ป่วย(โดยเฉพาะเด็ก) นำมาอมเล่นแล้วเกิดสำลักเข้าไปในปอดจนกลายเป็นปอดอักเสบ

การวินิจฉัย
ในรายที่สงสัยเป็นปอดอักเสบ แพทย์จะใช้เครื่องตรวจฟังเสียงปอด ซึ่งจะพบว่ามีเสียงดังกรอบแกรบ หรือเสียงหายใจค่อยกว่าปกติ และอาจทำการตรวจพิเศษอื่นๆ เช่น เอกซเรย์ปอด ตรวจเลือด ตรวจเสมหะ เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อน
อาจทำให้เป็นฝีในปอด ภาวะมีหนองในโพรง เยื่อหุ้มปอด เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ บางคนอาจมีการแพร่ของเชื้อเข้ากระแสเลือด กลายเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เยื่อบุช่องท้องอักเสบ ข้ออักเสบเฉียบพลัน หรือเลือดเป็นพิษที่ร้ายแรง คือ ภาวะการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน ซึ่งอาจทำให้ตายได้รวดเร็วมักจะพบในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ

การรักษาและยา
ในรายที่แพทย์ตรวจพบว่าเป็นปอดอักเสบระยะแรกเริ่ม แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ เช่น อะม็อกซีซิลลิน โคไตรม็อกซาโซล อีริโทรไมซิน เป็นต้น ให้กลับไปกินที่บ้าน แล้วนัดมาตรวจดูอาการเป็นระยะๆ แต่ถ้ามีอาการหอบมาก ตัวเขียว แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ให้ยาปฏิชีวนะชนิดฉีดควบกับชนิดกิน และอาจต้องให้ออกซิเจนช่วยการหายใจโดยทั่วไป หลังให้ยาปฏิชีวนะ 2-3 วัน อาการมักจะทุเลา มักจะต้องให้ยาต่อนาน 1-2 สัปดาห์ แต่ถ้าให้ยาแล้วไม่ ทุเลาอาจต้องตรวจหาสาเหตุอื่น เช่น วัณโรคปอด มะเร็งปอด ภาวะมีน้ำหรือหนองในโพรงเยื่อหุ้มปอด

การดูแลตนเอง
เมื่อแรกเริ่มมีไข้ไอให้ยาลดไข้พาราเซตามอล เช็ดตัว ดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ แล้วเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ถ้าเป็นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน อาการไข้มักจะทุเลาได้ภายใน 4 วันควรไปพบแพทย์โดยเร็ว
ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
• ไอมีเสมหะเป็นสีเหลือง สีเขียว สีสนิมเหล็ก หรือมีเลือดปน
• อาการเจ็บแปลบในหน้าอกเวลาหายใจเข้าหรือไอแรงๆ
• หายใจหอบ หายใจลำบาก
• มีไข้นานเกิน 4 วัน
• น้ำหนักลด

ถ้าตรวจพบว่าเป็นปอดอักเสบควรกินยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างจริงจัง